วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

เชื้อสายจากอับราฮัมถึงชาติอิสราเอล 3

ปฐมกาล 27 : 15-16,21-22

15 แล้วเรเบคาห์นำเสื้ออย่างดีที่สุดของเอซาวบุตรชายคนโตของนาง ซึ่งอยู่กับนางในเรือนมาสวมให้ยาโคบบุตรคนเล็กของนาง
16 เอาหนังแพะหุ้มมือและคอที่เกลี้ยงเกลาของเขา

21 แล้วอิสอัคจึงพูดกับยาโคบว่า "ลูกเอ๋ย มาใกล้ๆ พ่อจะได้คลำดูเจ้า เพื่อจะได้รู้ว่าเจ้าเป็นเอซาวบุตรชายของพ่อแน่หรือไม่"
22 ยาโคบจึงเข้าไปใกล้อิสอัคบิดา อิสอัคคลำตัวเขาแล้วพูดว่า "เสียงก็เป็นเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว"
ภาพที่ 1
Disguised to Deceive
ยาโคบได้คำอวยพรจากอิสอัค (26:34-28:9)

เป็นธรรมเนียมของคนสมัยนั้น เมื่อบิดาอยู่ในวัยชราก็จะกล่าวคำอวยพรให้แก่บุตรทั้งหลาย และมอบสิทธิ์ให้แก่บุตรหัวปี ในครอบครัวของพระเจ้าถือกันว่า คำอวยพรนี้เป็นคำพยากรณ์ด้วย กล่าวถึงพระพรที่จะได้รับในอนาคต อิสอัครู้แล้วว่าพระเจ้าประสงค์ให้ยาโคบรับสิทธิ์บุตรหัวปี ไม่ใช่เอซาว (ดู 25:23) แต่ท่านตั้งใจที่จะทำตามความปรารถนาของตน ท่านรู้ด้วยว่าเอซาวได้แสดงตนออกนอกพันธสัญญาโดยได้ภรรยาเป็นคนต่างชาติที่จะรับมรดกของพระเจ้าไม่ได้ ส่วนเอซาวร่วมมือกับบิดา
ทั้ง ๆ ที่เขาได้สาบานกับยาโคบแล้วว่าจะสละสิทธิ์บุตรหัวปีให้ยาโคบรับแทน (26:34-27:4; ดู 25:33)

นางเรเบคาร์กับยาโคบก็ผิดอีกเช่นกัน เขาหลอกอิสอัคทั้งโกหกอย่างหน้าด้านด้วย (5-24) ถึงกระนั้นในบั้นปลายทุกสิ่งสำเร็จลงตามพระประสงค์ของพระเจ้า ยาโคบได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำพลไพร่ของพระเจ้า เขาจะมีชัยชนะต่อเหล่าศัตรูทั้งหลาย และจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้ (25-29)

อิสอัคผิดหวังในแผนการที่จะอวยพรเอซาว แต่ยอมรับว่า ท่านไม่สามารถเปลี่ยนน้ำพระทัยพระเจ้าได้ (30-37) อนาคตของเอซาว (มีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม ดู 25:25,30) จะเป็นต้นตระกูลของอีกชาติหนึ่งที่จะอยู่ตามภูเขาทุรกันดาร มีชีวิตความเป็นอยู่ด้วยการสู้รบกับเผ่าต่าง ๆ ใกล้เคียง โดยเฉพาะชนชาติอิสราเอล แต่บางครั้งเขาจะมีชัยชนะและเป็นอิสระบ้าง (38-40; ดู กดว. 24:18; 1 ซมอ. 14:47; 2 ซมอ. 8:13-14;1 พกษ. 11:15-16; 2 พกษ. 8:20-22; 14:7,22)

พอเอซาวทราบว่าถูกน้องเอาเปรียบก็โกรธมากคิดจะฆ่าน้องเสียเมื่อนางเรเบคาร์ทราบเรื่องก็วางแผนอีก จะส่งยาโคบให้ไปอยู่กับลาบันพี่ชายของนางเพื่อความปลอดภัย (41-45) แต่เมื่อนางบอกอิสอัคก็อ้างเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เพราะนางรู้ว่าอิสอัคยังคงโกรธยาโคบอยู่ นางจึงพูดเพียงว่าจะส่งยาโคบให้ไปหาภรรยาเท่านั้น ซึ่งอิสอัคคงไม่คัดค้านเพราะท่านปวดหัวเรื่องภรรยาเอซาวที่เป็นชาวคานาอัน (46; ดู 26:34-35) อิสอัคไม่อยากมีลูกสะใภ้ชาวคานาอันอีก จึงบอกเรเบคาห์ให้ส่งยาโคบไปหาภรรยาในวงศ์วานของนางดีกว่า อิสอัคอวยพรยาโคบอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ส่งไป นางเรเบคาห์คงดีใจในความฉลาดของตน แต่ความฉลาดนี้ส่งผลให้นางไม่ได้พบกับลูกสุดที่รักอีกตลอดชีวิต (28:1-5)

ฝ่ายเอซาวเมื่อเห็นบิดารำคาญลูกสะใภ้ชาวคานาอัน ก็เอาภรรยาอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ชาวคานาอัน แต่เป็นบุตรของอิชมาเอล จึงเป็นการยืนยันว่าเอซาวอยู่นอกพันธสัญญาที่พระเจ้ากระทำไว้กับอับราฮัม (6-9)

เชื้อสายจากอับราฮัมถึงชาติอิสราเอล
ภาพที่ 2

Jacob (Israel) Family Tree -- Benjamin not yet born

28:10-36:43 ยาโคบเริ่มสร้างชนชาติใหม่

ยาโคบแต่งงานกับบุตรหญิงของลาบัน (28:10-29:30)

ก่อนที่ยาโคบออกจากคานาอัน พระเจ้าทรงโปรดสำแดงพระองค์แก่เขา และทรงยืนยันพันธสัญญาที่ทำไว้กับอับราฮัม ทั้งกล่าวว่าจะคุ้มครองเขาและลูกหลานต่อไป จนกระทั่งเข้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้ (10-15; ดู 12:1-3; 26:24) ยาโคบทูลตอบว่า ถ้าพระองค์จะทรงกระทำอย่างนั้น เขาจะจงรักภักดีต่อพระองค์และถวายทรัพย์สมบัติเื่รื่อยไปตราบชั่วชีวิต ยาโคบเรียกสถานที่ที่พบพระเจ้านั้นว่า เบธเอล (16-22)

ยาโคบขึ้นไปทางเหนือจนถึงบ้านเก่าของมารดาที่เมืองฮารานในแผ่นดินอารัม เขาพบราเชลบุตรหญิงของลาบัน ซึ่งเป็นพี่ชายของนางเรเบคาห์ และยาโคบไปอาศัยอยู่ในบ้านเขา (29:1-14) ยาโคบอยากได้ราเชลเป็นภรรยา แต่ลาบันหลอกลวงเขาเช่นเดียวกับที่เขาหลอกลวงอิสอัคมาแล้ว หลังจากที่ยาโคบทำงานให้ลาบันเจ็ดปีเพื่อเป็นค่าสินสอดลาบันกลับมอบเลอาห์พี่สาวของราเชลให้แทน การฉลองแต่งงานใช้เวลาหนึ่งสัปหาห์ เสร็จแล้วลาบันก็มอบราเชลให้ แต่ยาโคบต้องทำงานให้เขาอีกเจ็ดปีให้เป็นค่าสินสอดภรรยาคนใหม่ ภรรยาแต่ละคนมีสาวใช้ส่วนตัว ที่ลาบันยกให้ (15-30; เปรียบดู 24:59)

บุตรของยาโคบที่เกิดในบ้านลาบัน (29:31-30:24)

เวลาผ่านพ้นไปราเชลไม่มีบุตร แต่เลอาห์มีบุตรชายสี่คน ชื่อที่นางตั้งให้สี่คนนั้นแสดงให้เห็นว่านางไม่มีความสุข เพราะยาโคบรักแต่ราเชล (31-35) เมื่อราเชลหมดหวังที่จะมีบุตรเอง ก็มุ่งจะให้สาวใช้มีบุตรกับยาโคบเพื่อราเชลจะได้เอาบุตรนั้นมาเป็นบุตรของตน สาวใช้ได้มีบุตรชายสองคน (30:1-8; เปรียบดู 16:1-4) เลอาห์ทำกับสาวใช้ของนางเหมือนกัน ผลก็คือยาโคบมีบุตรชายอีกสองคน (9-13)

คนสมัยนั้นเชื่อว่า หญิงใดเป็นหมันถ้ารับประทานมะเขือดูดาอิมจะช่วยให้ตั้งครรภืได้ ราเชลหมดหนทางที่จะมีบุตรก็เลยตกลงกับเลอาห์ว่าถ้าเลอาห์ให้มะเขือดูดาอิมแก่นาง นางจะให้เลอาห์ไปนอนกับยาโคบชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วก็ไม่ได้ผล มะเขือไม่ได้ช่วยให้ราเชลตั้งครรภ์ส่วนเลอาห์กลับตั้งครรภ์อีก คลอดบุตรเป็นชาย หลังจากนั้นก็มีบุตรชายอีกคนหนึ่งและบุตรหญิงคนหนึ่ง (14-21) ในที่สุดนางราเชลมีบุตรชาย เป็นบุตรชายคนที่ 11 ของยาโคบ (22-24)
ภาพที่ 3

Jacob and Rachel
ยาโคบชนะลาบัน (30:25-43)

พอยาโคบมีบุตรชายกับนางราเชลแล้ว เขาคิดจะกลับไปคานาอันซึ่งมีมรดกรอคอยเขาอยู่ ความชำนาญและความขยันของยาโคบได้สร้างความร่ำรวยให้กับลาบันอย่างมากมาย ลาบันจึงเห็นว่าสมควรจะให้ค่าตอบแทนบ้าง (25-30) ยาโคบจึงเรียกเอาสัตว์ด่างกับสัตว์ที่มีจุดรวมทั้งแกะดำไปเป็นรายได้ ลาบันยินดีตกลง เพราะคิดว่าสัตว์ลักษณ์นั้นมีอยู่จำนวนไม่มาก ถึงกระนั้นลาบันก็พยายามยักยอกขโมยสัตว์เหล่านั้นไปหลายตัว เหลือไว้ให้ยาโคบเพียงไม่กี่ตัว (31-36)

ยาโคบมีความฉลาดไม่ใช่น้อย เขาทำงานเลี้ยงสัตว์มาหลายปี จึงรู้วิธีผสมพันธุ์เป็นอย่างดี ดังนั้นแทนที่จะกลับไปบ้านเดิมก็ตกลงทำงานให้ลาบันต่อไป (ทีหลังปรากฏว่าทำงานอีกหกปี ดู 31:41) ตลอดเวลานั้นยาโคบเลือกสัตว์ตัวดี ๆ ผสมกันพื่อจะมีตัวด่างหรือมีจุดมากขึ้นเป็นตัวที่สมบูรณ์ดีทั้งนั้น ส่วนแกะขาวล้วน ๆ กับแพะดำล้วน ๆ น้อยลงทุกที ทั้งไม่สมบูรณ์อีกด้วย ยาโคบทำตามที่คนสมัยนั้นคิดกันคือถ้าทำให้สัตว์ที่ผสมพันธุ์ตกใจเพราะเห็นสิ่งมีลายแปลก ก็จะทำให้ลูกมีลายเช่นกัน อันที่จริงสิ่งที่ทำให้ยาโคบได้สัตว์ที่แข็งแรงจำนวนมากมายไม่ใช่วิธีผสมพันธุ์ แต่เป็นการคุ้มครองดูแลของพระเจ้า (37-43; ดู 31:8-9)

ยาโคบหนีไปจากลาบัน (31:1-55)

พวกบุตรชายของลาบันโกรธยาโคบที่เอาชนะบิดาจนมีฝูงสัตว์ใหญ่ ยาโคบจึงตัดสินใจจะหนีไปทันที (31:1-13) ส่วนเลอาห์กับราเชลโกรธลาบันที่ใช้สินสอดของพวกนางสร้างความร่ำรวยขึ้น แต่ไม่ได้แบ่งมรดกให้นางเลย สามีของนางเป็นหัวแรงให้ลาบันมีฐานะร่ำรวยแต่ลาบันตัดนางออกจากกองมรดก (14-16) ดังนั้นเมื่อยาโคบหนีไปจากลาบัน ราเชลเอารูปเคารพของบิดาไปด้วย เพราะตามธรรมเนียมคนเมโสโปเตเมียรูปเคารพเป็นสัญลักษณ์ถึงสิทธิ์รับมรดก (17-21)

ลาบันร้อนใจที่ยาโคบพาครอบครัวกับฝูงสัตว์หนีไป และยิ่งร้อนใจที่รูปเคารพหายไป เขาจึงไล่ทัน แต่ก็ไม่สามารถเอารูปเคารพกลับคืนมาได้ (22-35) ยาโคบโต้แย้งกับลาบันว่าทำงานให้เขา 20 ปีแต่ลาบันไม่ให้ความยุติธรรมแก่เขาเลย (36-42) ทั้งสองคนต่างระแวงกันไม่ไว้ใจกัน จึงตกลงทำพันธสัญญากันเพื่อป้องกันทั้งสองฝ่าย เขาขอให้พระเจ้าเป็นพยานโดยถวายเครื่องบูชาและรับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งเอาก้อนหินมาสร้างหลักเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพันธสัญญา (43-55)

หน้า 45-48 คู่มืออธิบายพระคัมภีร์ เล่ม 1 ปฐมกาล - เฉลยธรรมบัญญัติ. ชื่อผู้แต่ง : ดอน เฟล็มมิ่ง


Israel's Promised Land Map
update 30-09-2055 02:15


..wannaprasart blog
ข้อความ

1 ความคิดเห็น: